วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประวัติลีลาศในไทย


สมาชิกกลุ่ม 
นายธีรวงศ์  พิทักษ์สาลี  ม.6/6  เลขที่ 8
น.ส.จตุพร  มีรุ่งเรือง  ม.6/6  เลขที่ 9
น.ส.ณัฐนรี  กาญจนเกตุ  ม.6/6  เลขที่ 10
น.ส.ธนกมล  สังขทัต ณ อยุธยา  ม.6/6  เลขที่ 11
นายปิยะชนน์  มากคุณ  ม.6/6  เลขที่ 12
น.ส.ธมลวรรณ  อธิลานนท์  ม.6/6  เลขที่ 13



    การลีลาศในประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานยืนยันได้แน่ชัด  แต่จากบันทึกของแหม่มแอนนา  ทำให้มีหลักฐานเชื่อได้ว่า  เมืองไทยมีลีลาศมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่  4  และบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนักลีลาศคนแรกก็คือ  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามบันทึกของแหม่มแอนนาเล่าว่า  ในช่วงหนึ่งของการสนทนาได้พูดถึงการเต้นรำ  ซึ่งแหม่มแอนนาพยายามสอนพระองค์ท่านให้รู้จักการเต้นรำแบบสุภาพ  ซึ่งเป็นที่นิยมของชาติตะวันตก พร้อมกับแสดงท่าและบอกว่าจังหวะวอลซ์นั้นหรูมาก  มักนิยมเต้นกันในวังยุโรป  ซึ่งพระองค์ท่านก็ฟังอยู่เฉยๆ  ไม่ออกความเห็นใดๆ แต่พอแหม่มแอนนาแสดงท่า  พระองค์ท่านกลับสอนว่าใกล้เกินไปแขนต้องวางให้ถูกและพระองค์ท่านก็เต้นให้ดู จนแหม่มแอนนาถึงกับงง จึงทูลถามว่าใครเป็นคนสอนให้พระองค์  ท่านก็ไม่ตอบจึงไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สอนพระองค์  สันนิษฐานกันว่าพระองค์ท่านคงจะศึกษาจากตำราด้วยพระองค์เอง
·         ในสมัยรัชกาลที่  5  การเต้นรำยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก  คงมีแต่เจ้านายในวังที่เต้นกัน  ส่วนใหญ่มักจะเต้นจังหวะวอลซ์เพียงอย่างเดียว  และบางครั้งได้มีการนำเอาจังหวะวอลซ์ไปสอดแทรกในการแสดงละครด้วย เช่น  เรื่องพระอภัยมณี ตอนที่กล่าวถึงนางละเวงได้กับพระอภัยมณี 
·         ในสมัยรัชกาลที่  6  ทุกๆ ปีในงานเฉลิมพระชนมพรรษาก็มักจะจัดให้มีการเต้นรำกันใน     พระบรมมหาราชวัง โดยมีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นประธาน ซึ่งบรรดาทูตานุทูตทั้งหลายต้องเข้าเฝ้า  ส่วนแขกที่ชิญนั้นต้องได้รับบัตรเชิญจึงจะเข้าไปในงานได้
·         ในสมัยรัชกาลที่ 7 การเต้นรำได้รับความนิยมมากขึ้น  ได้เปิดให้มีการเต้นกันตามสถานที่ต่างๆกันมาก เช่น ที่ห้อยเทียนเหลา  เก้าชั้น  โลลิต้า  และคาร์เธ่ย์
·         ในพุทธศักราช 2475 หม่อมเจ้าวรรณไวทยากรวรรณ กับนายหยิบ ณ นคร ได้ปรึกษากันและจัดตั้งสมาคมที่เกี่ยวกับการเต้นรำขึ้น ชื่อ สมาคมสมัครเล่นเต้นรำโดยมีหม่อมเจ้าไวทยากรวรวรรณ เป็นประธาน นายหยิบ ณ นคร เป็นเลขาธิการสมาคม และมีคณะกรรมการอีกหลายท่าน เช่น หลวงเฉลิม สุนทรกาญจน์ นายแพทย์เติม บุนนาค พระยาปกิตกลสาร พระยาวิชิตหลวงสุขุม               นัย ประดิษฐ์ หลวงชาติตระการโกศล สถานที่ตั้งสมาคมนั้นไม่แน่นนอนคือวนเวียนไปตามบ้านสมาชิกแล้วแต่สะดวก การตั้งเป็นสมาคมครั้งนี้ไม่ได้จดทะเบียนให้เป็นที่ถูกต้องแต่อย่างใด สมาชิกส่วนมากเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งได้พาบุตรหรือบุตรีเข้าฝึกหัดด้วย ทำให้สมาชิกเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว   มัก จัดให้มีงานเต้นรำขึ้นบ่อยๆ ที่สมาคมคณะราษฎร์ วังสราญรมย์ และได้จัดแข่งขันการเต้นรำขึ้นครั้งแรกที่วังสราญรมย์นี้ ผู้ชนะเลิศเป็นแชมเปี้ยนคือ พลเรือตรีเฉียบ แสงชูโต และคุณประนอม สุขุม
·         ในปี พ.ศ. 2476 นักศึกษากลุ่มหนึ่งเห็นว่า  คำว่า เต้นรำเมื่อผวนแล้วจะฟังไม่ไพเราะหู     ดังนั้นหม่อมเจ้าไวทยากรวรวรรณ จึงบัญญัติศัพท์คำว่า ลีลาศขึ้นแทนคำว่า เต้นรำนับแต่บัดนี้เป็นต้นมา ต่อมาสมาคมสมัครเล่นเต้นรำก็สลายตัวไปกลายเป็น สมาคมครูลีลาศแห่งประเทศไทยโดย มีนายหยิบ ณ นคร เป็นผู้ประสานงานจนสามารถส่งนักลีลาศไปแข่งยังต่างประเทศได้ รวมทั้งให้การต้อนรับนักลีลาศชาวต่างชาติที่มาเยี่ยมหรือแสดงในเมืองไทย ในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งนี้ด้วย จึงทำให้การลีลาศซบเซาไป
·         เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2488 วงการลีลาศของเมืองไทยก็เริ่มคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นดังเดิม มีโรงเรียนสอนลีลาศเปิดขึ้นหลายแห่ง โดยเฉพาะสาขาบอลรูมหรือ Modern Ballroom Branch อาจารย์ยอด บุรี  ซึ่งไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษแล้วนำกลับมาเผยแพร่ใน  เมืองไทย  ทำให้การลีลาศซึ่ง ศาสตราจารย์ศุภชัย วานิชวัฒนา  เป็นผู้นำอยู่ก่อนแล้วเจริญขึ้นเป็นลำดับ
     ต่อมาได้มีบุคคลชั้นนำในการลีลาศประมาณ 10 ท่าน ซึ่งเคยเป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น คุณกวี กรโกวิท , คุณอุไร โทณวนิก , คุณจำลอง มาณยมฑล คุณปัตตานะ เหมะสุจิ โดยมีนายแพทย์ประสบ วรมิศร์  เป็น ผู้ประสานงานติดต่อพบปะปรึกษาหารือ และมีแนวความคิดจะรวมนักลีลาศทั้งหมดให้อยู่ในสมาคมเดียวกัน เพื่อเป็นการผนึกกำลังและช่วยกันปรับปรุงมาตรฐานการลีลาศทั้งทางทฤษฎีและทาง ปฏิบัติ ซึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกัน จึงมีการร่างระเบียบข้อบังคับขึ้นมา ได้ยื่นจดทะเบียนเป็นสมาคมตามกฎหมาย เมื่อวันที่  7  สิงหาคม  พ.ศ. 2491  ซึ่งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้อนุญาติให้จัดตั้ง สมาคมลีลาศแห่งประเทศไทย ”  เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม  2491  โดยมีหลวงประกอบนิติสาร  เป็นนายกสมาคมคนแรก  ปัจจุบันสมาคมแห่งประเทศไทย  เป็นสมาชิกของสภาการลีลาศนานาชาติด้วยประเทศหนึ่ง
      หลังจากนั้นการลีลาศได้รับความนิยมแพร่หลายเป็นอย่างมาก  มีการจัดตั้งสมาคมลีลาศขึ้น  มีสถานลีลาศเปิดเพิ่มขึ้น  มีการจัดส่งนักกีฬาลีลาศไปแข่งขันในต่างประเทศ  และจัดแข่งขันลีลาศนานาชาติขึ้นในประเทศไทย  ในสมัยจอมพลสฤษณ์  ธนะรัตต์  ได้ให้เรียนสอนลีลาศต่างๆ  สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ  และมีการกำหนดหลักสูตรลีลาศขึ้นอย่างเป็นแบบแผน  มีสถาบันที่เปิดสอนลีลาศเกิดขึ้นเกือบทุกจังหวัด  ปัจจุบันมีหลักสูตรการสอนลีลาศในสถานศึกษา  ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา  จนถึงระดับอุดมศึกษา



วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กระบวนการสร้างเสริม และดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบต่อมไร้ท่อ

ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์นับล้านๆเซลล์กลุ่มเซลล์ที่ร่วมกันทำหน้าที่เฉพาะอย่างเรียกว่าเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อรวมกันเป็นอวัยวะ อวัยวะหลายๆอวัยวะทำงานประสานกันเกิดเป็นระบบที่สำคัญต่างๆในร่างกาย ทำหน้าที่แตกต่างกันแต่ต้องทำงานสอดคล้องกันกับร่างกายจึงสามารถดำรงอยู่ได้อย่างปกติ ดังนั้นเราควรดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย โดย
1.รักษาอนามันส่วนบุคคล คือการอาบน้ำให้สะอาดทุกวัน สระผมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นต้น
2.บริโภคอาหารให้ถูกต้องและเหมาะสม โดยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
4.พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับวันละ 8-10 ชั่วโมง
5.ทำจิตใจให้ร่าเริงอยู่เสมอ เมื่อมีปัญหาไม่สบายใจควรหาทางผ่อนคลาย
6.หลีกเลี่ยงอบายมุขและสิ่งเสพติดให้โทษ
7.ตรวจเช็คร่างกาย เช่นชั่งน้ำหนักเป็นประจำและควบคุมน้ำหนักควรเช็คร่างกายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
           ร่างกายของคนเราประกอบด้วยระบบอวัยวะหลายระบบเช่น
1.ระบบประสาท คือ ระบบที่ประกอบด้วยสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาททั่วร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานและการรับความรู้สึกของอวัยวะทุกส่วน สมองและไขสันหลังจะเป็นศูนย์กลางคอยรับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าทั้งภายในและนอกร่างกาย แล้วส่งกระแสคำสั่งผ่านเส้นประสาทที่กระจายอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย
  องค์ประกอบของระบบประสาท แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ระบบประสารทส่วนกลาง และระบบประสาทส่วนปลาย
     ระบบประสาทส่วนกลาง
สมอง – มีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ1.4กิโลกรัม แบ่งออกเป็น2ชั้นคือ ชั้นนอกมีสีเท่าเรียกว่า เกรย์แมตเตอร์ เป็นที่รวมของเซลล์ประสาท และแอกซอนชนิดไม่มีเยื่อหุ้ม ส่วนชั้นในเป็นสีขาว เรียกว่าไวท์แมตเตอร์ คือส่วนของใยประสาท
           -แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนท้าย
1.สมองส่วนหน้า ประกอบด้วย
-ซีรีบรัม ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ ไหวพริบ ความรู้สึกรับผิดชอบ
-ทาลามัส ทำหน้าที่ถ่ายทอดกระแสประสาทรับความรู้สึก
-ไฮโพทาลามัสทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
2.สมองส่วนกลาง – ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของลูกตาและม่านตา
3.สมองส่วนท้าย ประกอบด้วย
-ซีรีเบลลั่ม ทำหน้าที่ดูแลการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อ
-พอนส์ ทำหน้าที่ควบคุมการเคี้ยวอาหาร กางหลั่งน้ำลาย การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ควบคุมการหายใจ การฟัง
-เมดัลลา ออบลองกาตา ควบคุมการเต้นของหัวใจ การไอ การจาม ตอนปลายของสมองส่วนนีเชื่อมต่อกับไขสันหลัง เป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างสมองกับไขสันหลัง
ไขสันหลัง – ทำหน้าที่รับกระแสประสาทจากส่วนต่างๆของร่างกายต่อไปยังสมอง และรับกระแสประสาทตอบสนองจากสมองเพื่อไปยังอวัยวะต่างๆ
      ระบบประสาทส่วนปลาย ประกอบด้วย
1.เส้นประสาทสมอง 12 คู่             2.เส้นประสาทไขสันหลัง 31 คู่            3.ประสาทระบบอัตโนมัติ
          ดังนั้นเราควรดูแลระบบประสาทโดยระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนศีรษะ ระวังไม่ให้เกิดโรคทางสมอง หลีกเลี่ยงยาที่มีผลต่อสมองรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เครียด เป็นต้น
2.ระบบสืบพันธุ์
-อวัยวะสืบพันธ์เพศชาย ประกอบด้วยส่วนต่างๆดังนี้
1.อัณฑะ – สร้างอสุจิ สร้างฮอร์โมนเพศชาย
2.ถุงหุ้มอัณฑะ –ควบคุมอุณหภูมิให้พอเหมาะในการสร้างตัวอสุจิ
3.หลอดเก็บตัวอสุจิ – เก็บตัวอสุจิที่เจริญเต็มที่
4.หลอดนำอสุจิ – ลำเลียงอสุจิไปไว้ในต่อมสร้างน้ำเลี้ยงตัวอสุจิ
5.ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงตัวอสุจิ – สร้างอาหารเพื่อใช้เลี้ยงตัวอสุจิ
6.ต่อมลูกหมาก – หลั่งสารที่มีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆเข้าไปในท่อปัสสาวะเพื่อทำลายกรดในท่อปัสสาวะ
7.ต่อมคาวเปอร์ – หลั่งสารหล่อลื่นท่อปัสสาวะในขณะที่เกิดการกระตุ้นทางเพศ
อวัยวะสืบพันธ์เพศหญิง
1.รังไข่ – ผลิตไข่ สร้างฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรน)
2.ท่อนำไข่หรือปีกมดลูก - เป็นทางผ่านของไข่ที่ออกจากรังไข่เข้ามดลูก
3.มดลูก – เป็นที่ฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว และเป็นที่เจริญเติบโตของทารกในครรภ์
4.ช่องคลอด – เป็นทางผ่านของอสุจิเข้ามดลูก เป็นทางออกของทารกเมื่อครบกำหนดคลอด
            ดังนั้น เราควรดูแลระบบสืบพันธ์โดย ดูแลร่างกายให้แข็งแรงสม่ำเสมอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำความสะอาดร่างกายอย่างทั่วถึง สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดไม่ใช้เสื้อผ้าร่วมกับผู้อื่น ไม่สำส่อนทางเพศ
3.ระบบต่อมไร้ท่อ – ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนในร่างกาย มีดังนี้
1.ต่อมใต้สมอง – สร้างฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายและกระดูก สร้างฮอร์โมนที่ทำให้ปัสสาวะเป็นปกติ
2.ต่อมหมวกไต – สร้างฮอร์โมนอะดีนาลิน สร้างฮอร์โมนควบคุมการเผาผลาญอาหาร
3.ต่อมไทรอยด์ – หลั่งฮอร์โมน ไทรอกซิน
4.ต่อมพาราไทรอยด์ – สร้างฮอร์โมนพาราฮอร์โมนที่ควบคุมปริมาณของแคลเซียมในเลือด รักษาความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย
5.ต่อมที่อยู่ในตับอ่อน – สร้างฮอร์โมงอินซูลิน ซึ่งควบคุมปริมาณน้ำตาลในร่างกาย ถ้าขาดฮอร์โมนชนิดนี้จะทำให้เป็นเบาหวาน
6.รังไข่ – สร้างฮอร์โมนเพศ
7.ต่อมไทมัส – ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    ดังนั้นเราควรดูแลระบบต่อมไร้ท่อโดยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดปริมาณเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอ และ หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ